วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2552

PHP

ช่วงนี้จะหาระบบอะไรก็ได้มาทดสอบกับเพื่อ ทำ BI เลยหาระบบแปลกๆ ใหม่ๆ มาทดลองดู แต่เนื่องจากระบบส่วนใหญ่นั้น พื้นฐานจะต้องทำงานบน PHP หมด เลยต้องทำงานทดสอบ เล่น XAMPP หน่อย ซึ่งเป็นชุด Mysql Php และระบบอื่นๆ มาใช้ง่ายๆ วางเสร็จก็ใช่ได้เลย

สิ่งที่สำคัญในการพัฒนา Application หรือ Webapplication ที่ส่วนใหญ่เป็น Open source ซึ่งพวสำคัญการทำงานคือพวก PHP ที่เป็น ภาษาโปรแกรมเพื่อการพัฒนา ซึ่งเป็นเว็บ App โดยใช้ Appserver และต้องตามมาด้วย Database ส่วนใหญ่จะมาเป้นชุดเช่นพวก PHP MySQL โดยหลังๆ ก็มีคนนำพวกนี้มารวมกันเป้น Set เช่น

http://www.appservnetwork.com ลงทุกอย่างมาไว้ Set สะดวกดี
อีกตัวก็คือ XAMPP http://www.apachefriends.org/en/xampp.html ซึ่งบางคนบอก มันเล็กสะดวกหิ้วไปใน Flashdrive ได้ ง่ายๆ ไม่ยาก

ส่วนบางคนที่ มืออาชีพหน่อย ก็อาจลงแยกที่ละตัว ไม่ว่า จะเป้น Mysql , Apache ก้แล้วแต่คนจะชอบนะครับ

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Datawarehouse กับ BusinessIntelligence

มาวันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับ Datawarehouse กับ BusinessIntelligence อย่างเป็นหลักการคร่าวๆ นะครับ


ก่อนหน้าบทความนี้ผมได้ศึกษาเรื่อง BusinessIntelligence จะไม่ได้บอกถึงเรื่องการทำงานทางเทคโนโลยีเท่าไรนัก โดยผมมุ่งเป้าไปที่ตัว Application ของ BI มากกกว่า แต่มาทำงานจริง จะเป็นเรื่อง ETL จาก Datawarehouse เอาประมาณ 40 % ก่อนเลย ดังนั้นเรามาดูกันว่าทำไมผมต้องเรือง Datawarehouse กับ BusinessIntelligence

จากที่เรารู้กันว่าการใช้ระบบ Business Intelligence นั้นเป็นสิ่งสำคัญในการทำตัดสินใจธุรกิจหรืองานชนิดอื่นๆ โดยต้องใช้ข้อมูลจำนวนมหาศาสหรือหลากหลายแหล่งเพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ

แต่ข้อมูลจำนวนมหาศาสหรือหลากหลายแหล่งนั้น เป็นสิ่งที่ในทางปฎิบัตินั้นเป็นไปได้ยากมาก การทำจะนำข้อมูลทุกระบบมาใช้ไม่ว่าจากภายในตัวองค์กรและยิ่งนำข้อมูลจากนอกระบบมาใช้อีก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

เพราะมันจะมีปัญหาเรื่องการนำข้อมูลที่แตกต่างกันมาใช้ เช่น

ข้อมูลลูกค้าจากระบบอาจมา Datatype ที่แตกต่างกัน

ระบบ A ชือ นามสกุล mm/dd/yy
ระบบ B ชือ นามสกุล ชื่อเล่น dd/mm/yyyy
ระบบ C ชือ ชื่อกลาง นามสกุล yyyy/mm/dd


เป็นต้นนะครับ ถึงเวลาจริงๆ มันไม่ได้แค่ข้อมูลแบบนี้เท่านั้น ข้อมูลสารพัด ถ้าระบบมันเป้นมาตรฐานเดียวก็ดี แต่ความเป็นจริงยังไม่ค่อยมีหรอกครับ


มันถึงต้องมีการทำ Cleaning Data ข้อมูลจากระบบทุกระบบก่อน เพื่อทำให้ข้อมูลเป็นรูปแบบเดียวกันก่อน แล้วจึงทำนำข้อมูลที่เป็นที่มีรูปแบบเดียวกันแล้วมาใช้ทำการวิเคราะห์ตามแบบของ BusinessIntelligence ได้
และนี้คือหลักการและความสัมพันธ์เบื้องต้นของ Datawarehouse กับ BusinessIntelligence ซึ่งต่อไปผมคงได้บอกถึงรายละเอียดเยอะขึ้นอีก

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Total cost of ownership (TCO) ต้นทุนการเป้นเจ้าของ

ต้นทุนเป็นเรื่องการบริหารอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้ที่รับผิดชอบ IT ขององค์กรต้องพิจารณา เมื่อเรามีระบบหรือเทคโนโลยีจึ้นมาใหม่ก็ได้ระบบหรือเทคโนโลยีที่เราต้องดูแล โดยต้องเสียต้นทุนในการดูแล ต้นทุนนั้นคือ ต้นทุนการเป้นเจ้าของ Total cost of ownership โดยเรียกสั้นๆ ว่า TCO

การที่เรามีคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นอย่างน้อยเราต้องคำนึงถึงดูแลรักษาเมื่อมีปัญหาในการดำเนินการ ไม่ว่าจะจาก ไวรัส การโจมตี หรือแม้แต่จากบุคคลเอง โดยใช้คนดูแล หรือซื้ออุปกรณ์ Hardware Sotfware ในการบำรุงรักษา ทำให้ต้องเสียทรัพยากรในการดูแลระบบเหล่านี้

โดยทางWiki ได้ให้ความหมาย Total cost of ownership ไว้ดังนี้
Total cost of ownership เป็นการประมาณการทางการเงิน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยการผู้บริหารองค์กรได้ทราบถึงต้นทุนทางตรงและทางอ้อมของระบบหรือสินค้านั้นๆ โดยเป็นแนวคิดของการบริหารบัญชีซึ่งให้บัญชีต้นทุนและใช้เศรษฐศาสตร์มารวมในเรื่องต้นทุนทางสังคม

"Total cost of ownership (TCO) is a financial estimate. Its purpose is to help consumers and enterprise managers determine direct and indirect costs of a product or system. It is a management accounting concept that can be used in full cost accounting or even Ecological economics where it includes social costs." http://en.wikipedia.org/wiki/Total_cost_of_ownership

TCO ก็นับเป็นอีกเรื่องที่ทางศูนย์คอมตามหน่วยงานต่างๆ ให้ความสนใจ และก็มีผลิตภัณฑ์หลายตัวที่ให้ความสำคัญกับเรื่อง Total cost of ownership กับทางเทคโนโลยีขององค์กรนะครับ

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของ Business Intelligence

คราวเรามาดูประโยชน์ของการทำ Business intelligence กันบ้างนะครับ โดยได้มีคนเสนอประโยชน์ไว้หลายมิติเหมือนกัน จากแหล่งข้อมูลหลายๆที่


Larissa TและAtre ได้กล่าวถึงเรื่องประโยชน์ของ Business Intelligence ไว้ในหนังสือ
"Business Intelligence Roadmap: The Complete Project Lifecycle for Decision-Support Applications" ว่ามี 5 ข้อต่อการดำเนินธุรกิจคือ


Revenue increase เพิ่มรายได้จาก

  1. ตลาดใหม่หรือความแตกต่างในตลาดเดิม,

  2. เพิ่มประสิทธิผลจากขาย

  3. เห็นโอกาสใหม่ได้เร็วขึ้น

  4. เข้าตลาดในเวลาที่เหมาะสม

Profit increase กำไรเพิ่มจาก


  1. การทำโปรโมชั่นหรือกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ดีขึ้น

  2. เตือนการถดถอยของตลาดได้เร็วขึ้น

  3. ระบุการทำงานที่ต่ำกว่าประสิทธิได้

  4. บอกถึงการทำงานภายในที่ไม่มีประสิทธิภาพ

  5. เพิ่มประสิทธิภาพการบริหาร

Customer satisfaction improvement ปรับปรุงความพึงพอใจของลูกค้า


  1. สามารถเข้าใจลูกค้าได้มากขึ้น

  2. จับคู่ลูกค้าให้เข้ากับผลิตภัณฑ์ได้

  3. ทำ ซื้อต่อยอด(Up-selling) ได้

  4. เพิ่มการขายซ้ำให้ธุรกิจ

  5. สามารถปรับปรุงให้พึ่งพอใจของลูกค้าได้เร็วขึ้น

Savings increase ประหยัดได้มากขึ้น

  1. ลดการผลิตที่สิ้นเปลือง

  2. ลดการทำรายงาน


Market share gain ทำให้มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น




ประโยชน์ของที่ช่วยทำธุรกิจคือ อันนี้จากเว็บ search data management ได้พูดถึงข้อดีของ Business intelligecnc ไว้ดังนี้

Collaboration between IT and business is essential. ทำการรวมระหว่างธุรกิจกับ IT

Don't get hung up on hard metrics. ทำการวัดทำได้ง่าย พวก BSC

ROI calculations are difficult -- and not always necessary. หา ROI ได้ชัดเจน

The "soft" benefits of BI are the most important. ได้ประโยชน์ทางอ้อมต่อธุรกิจซึ่งสำคัญมาก

Executive sponsorship really helps. เป็นผู้ช่วยการบริหาร

http://searchdatamanagement.techtarget.com/news/article/0,289142,sid91_gci1245954,00.html

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทดลองเล่น BusinessObjects ( Free Trial BusinessObjects )

BO หรือ BusinessObjects เป็น ระบบซอฟแวร์ที่เป็น BI หรือ BusinessIntelligence ตัวต้นๆ ของตลาด ตัวหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันได้โดน SAP บริษัท ERP เทคโอเวอร์ หรือกลายเป้นเจ้าของไปแล้ว โดยได้มีการปล่อยตัวทดลอง Free Trial BusinessObjects มาให้ได้ลองใช้กัน


http://www.sap.com/solutions/sapbusinessobjects/index.epx
โดยเข้าไปตาม link ได้เลย และเลือก Free Trial จากนั้นก็กรอกรายละเอียดต่างๆ และ โหลดมาทดลองดูได้นะครับ



ตอนลงทะเบียนก็กรอก Email ให้เรียบร้อย เพราะเลข Key จะส่งมาทางอีเมล์นะครับ

ส่วนวิธีการลงผมได้เขียนไว้ที่นี้นะครับ

http://gkengapplication.blogspot.com/2009/12/sap-businessobjects-edge-solutions.html

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

BI: Business Intelligence

Business Intelligence หรือ BI ในการเรียกติดปากหลายๆคน นั้นเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่ใช้เพื่อทำการช่วยตัดสินใจในการทำธุรกิจ โดยมีคนให้ความเห็นเกี่ยวกับ BI Business Intelligence ไว้ดังนี้

"Business intelligence is a way of exploring data to improve business performance, whether to drive profitability or to manage costs.........the users discover new opportunities to leverage
information, and technology changes."(Howson,2006,3)

ซึ่ง Howson ได้บอกว่าเป็น Business Intelligence เป็นตัวใช้สำรวจข้อมูลเพื่อนำมาทำให้ประสิทธิภาพของการทำธุรกิจดีขึ้น โดยทำให้ต้นทุนการบริหารลดเพื่อนให้ได้กำไรเพิ่ม โดยการใช้ Business intelligence นั้นเพื่อค้นหาโอกาสที่ใช้ข้อมูลให้เป็นประโยชน์

"Business intelligence may be defined as a set of mathematical models and analysis methodologies that exploit the available data to generate information and knowledge useful for complex decision-making processes." (Vercellis,2009,3)

โดย Vercellis ได้บอกความหมายของ Business intelligence ได้เห็นถึงการทำงานระบบ Business intelligence โดยกล่าวว่า เป็นกลุ่มของแบบจำลองทางคณิตศาสตร์และวิธีการวิเคราะห์ซึ่งค้นหาความเป็นไปได้ของข้อมูลเพื่อที่จะนำมาเป้น สารนิเทศและความรู้ที่ใช้ในการตัดสินใจที่ยากได้



จากความเห็นเกี่ยวกันความหมายของ Business intelligence ที่ผมยกมาเห็นได้ว่าโดยส่วนใหญ่ ใช้ BI เพื่อการตัดสินใจเพื่อเพิ่มประสิทธภาพการทำธุรกิจ และหาโอกาสใหม่ๆ โดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ช่วย

โดยวัถตุประสงค์ของการใช้ BI มีดังนี้ (Dr. Saadia Asif)

Converting Data Into Information เปลี่ยนข้อมูลดิบมาเป้นข้อมูลที่สามารถใช้งานได้
Making Better Decisions Faster ทำให้การตัดสินใจเร็วขึ้น
Rational Approach to Management ทำให้มีเหตุผลในการบริหาร


โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเทคโนโลยีประเภท OLAP, analytics, data mining, business performance management, benchmarking, text mining, และ predictive analytics (http://en.wikipedia.org/wiki/Business_intelligence) ซึ่งแต่ละเทคโนโลยีก็จัดเป็นหัวข้อทางเทคโนโลยีที่น่าสนใจด้วยกันทั้งนั้น และยังมีส่วนอื่นๆ อีก ไว้โอกาสต่อไปเมื่อผมหาความรู้มาแล้วจะมาเขียนให้อ่านต่อนะครับ

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ช่วงเวลาใน Process Group ของ PMP

ในช่วงกลุ่มกิจกรรมทั้ง 5 ใน PMP นั้น โดยปกติจะไล่เรียงลำดับกันไป คือ Initiating, Planing, Executing, Monitoring and Controlling, Closing แต่เวลาในการทำนั้น สามารถเชื่อต่อและสามารถทับซ้อนกันได้แต่ละช่วงเวลานั้น ความสำคัญของ Process Group นั้น จะแต่ต่างกันไป ตามรูปภาพ

ซึ่งเห็นสังเกตุได้คือ Monitoring and Controlling จะมีส่วนในช่วงเวลาตลอดโครงการ
ส่วนที่สำคัญ คือ Planing, Executing ซึ่งเป้นการวางแผนแล้วต่อด้วยการทำ




PMP ได้แสดงภาพให้เห็นชัดเจนว่ากิจกรรมใดมีความสำคัญช่วงไหนอย่างไร ลองทำความเข้าใจกับรูปนี้ดูนะครับ

Closing Process Group กลุ่มกระบวนสุดท้าย ของ PMP

Closing Process Group ถือเป็นกลุ่มสุดท้ายก่อนจบโครงการโดยเป็นกิจกรรมใช้ในการปิดโดรงการ เมื่อโครงการนั้นๆ เสร็จสิ้นหรืออาจถูกยกเลิกก็ได้ โดยเมื่อกิจกรรมClosing Process เสร็จสิ้น นั้นหมายถึง โครงการ หรือ project phase นั้นเสร็จสิ้น

โดยกิจกรรมที่ PMBok บอกไว้นั้นได้แก่

Close Project

ของกิจกรรมนี้เป้นการนำ Process มาจบให้ได้

Contract Closure.
กิจกรรมงานในจั้นนี้ทำเพื่อตรวจสอบทุกสัญญาให้เรียบร้อยรวมถึงทุกปิด ส่งคืนของทุกอย่างในสัญญาที่ได้หรือใช้ในการทำโครงการ Project

เท่าก็เสร็จสิ้นกิจกรรม ของ PMBoK 5 area แล้ว

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หน้าที Database Administrator

ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับ System Administrator ในบทความนี้ http://gkengitm.blogspot.com/2009/10/system-administrators.html

ซึ่งมีอีก System administrator คือ Database Administrator หรือผู้ดูแลระบบฐานข้อมูลซึ่งเป็นงานดูแลกับระบบฐานข้อมูล โดยปกติฐานข้อมูลนั้นนับว่าเป็นเทคโนโลยีสำคัญกับการทำงานหรือเทคโนโลยีโดยส่วนใหญ่ เพราะฐานข้อมูลเป็นการจัดการเก็บข้อมูล การเรียกข้อมูล หรือการหารูปแบบของข้อมูลนั้น

ฐานะข้อมูลมีหลายแบบ หลายประเภท แต่ไม่ว่าเป็นแบบไหนก็ต้องมีผู้ดูแลทุกประเภท

โดยข้อมูลได้จากหนังสือ Oracle database 11g a beginners guide. ได้กล่าวไว้ว่าหน้าที่ของ Database Administrator มีดังนี้
  1. Installation and configuration หน้าที่อันแรกคือการติดตั้งและปรับแต่งระบบระบบให้ใช้ได้อย่างที่ต้องการ
  2. Create datafiles and tablespaces. สร้างตารางและข้อมูลของฐานข้อมูล
  3. Create and manage accounts สร้างและจัดการผู้ใช้นั้นเอง การให้ Username และ Password และกำหนดสิทธิ์ผู้ใช้ต่างๆ
  4. Tuning ทำหน้าที่ดูแลองค์ประกอบหรือไฟล์ประกอบต่างๆที่ทำให้ ฐานะข้อมูลทำงานได้อย่างดี เช่นตั้งค่าต่างๆ
  5. Configure backups ทำให้ฐานข้อมูลมีความน่าเชื่อถือ ข้อมูลไม่หาย รวมถึงการทำทดสอบการกู้ข้อมูลด้วย
  6. Work with developers ทำงานร่วมกับนักพัฒนาให้สิ่งที่ระบบหรือโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นใช้กับฐานข้อมูลได้ดีที่สุด
  7. Stay current การทำให้ฐานข้อมูลเป็นปัจจุบันเสมอ หรือ การ Update นั้นเอง
  8. Work with Oracle Support Services อันนี้เหมือนกับให้ทำงานร่วมกับ Oracle แต่ถ้าเป็นฐานะข้อมูลอื่นๆ ก็คงมีแหล่งให้บริการด้วย
  9. Maximize resource efficiency ใช้ทรัพยากรให้มีค่าที่สุด
  10. Liaise with the system administrators ทำงานร่วมกับ ผู้ดูแลระบบ ให้มากเพราะการทำงานของฐานะข้อมูลอาจต้องดูเรื่องการทำงานของ CPU Harddisk ของ Server ว่าถึงจุดที่ต้องอัพเกรดอุปกรณ์รึอย่าง

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ลองเล่น SAP ABAP

หลังจากจบชีวิตนักศึกษาปริญญาโทแล้ว การหางานนั้นมันยากกว่าที่คิดแฮะ

จริงอยู่หลายคนที่ไม่มีประสบการณ์ทำงานด้านนี้โดยตรงก็คงลำบากหน่อย (อย่างผมเป็นต้น) จะลองไปสมัครทำงานสาย Project management ก็เจอแต่วุฒิวิศวะทั้งนะ เลยว่าจะหยุด ศึกษา PMP ก่อน ขออนุญาติไปหาความรู้ด้านอื่นๆ ก่อน แล้วจะกลับมาเขียนให้จบ PMP สักที

วันนี้เลยลองมาดูสิ่งที่อยากทำจริงๆ บ้าง ก็สนใจ SAP มานานละไม่รู้เริ่มตรงไหนดี อายุก็ 28 แล้ว จะไปทำงานแบบเด็กใหม่ ก็ไม่ค่อยมีใครอยากรับเลย

เลยต้องหาอาวุธ คือความรู้ ใส่หัวสักหน่อย ซึ่งคิดว่า น้องๆ หรือผู้สนใจหลายๆท่าน ที่อยากทำงานด้านนี้ คงหาวิธีบ้าง

ง้นมาลองเริ่มต้น พร้อมๆ กับผมเลยแล้วกัน สิ่งแรกทีผมหาเจอคือ

sap ides อันนี้ยังหาไม่ได้ ใครหาได้ บอกผมด้วย

ต่อมาก็คือ




โดยจากวิดีโอนี้ web ยังเก่าอยู่ ตอนนี้กราฟฟิกก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว แต่หลักก็เหมือนเดิม อยู่ที่เดิม ก็ไปสมัครสมาชิกกัน แบบธรรมดา แล้วก็ ทำตามขั้นตอนวีดีโอนี้
http://www.sdn.sap.com/

ซึ่งผมกำลังโหลดอยู่ เมื่อเสร็จแล้ว จะมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังอีกที
และเว็บนี้รวมหนังสือ (แต่โหลดไมได้) มาไว้ http://www.sap-img.com/sap-books.htm

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ขั้นสี่ Monitoring and Controlling Process Group กลุ่มกระบวนการตรวจสอบและควบคุมของการบริหารโครงการ

ขั้นตอนนี้ เป็นขั้นเฝ้าสังเกตณ์และควบคุมดูว่าจะมีปัญหาอะไรที่จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ เพื่อได้มีกิจกรรมที่เหมาะสมในการจัดการกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น โดยประโยชน์หลักของ Monitoring and Controlling Process Group คือการได้สังเกตุและวัดผลจากการวางแผน โดยการทำขั้นตอนนี้ใน PMP นั้น รวมไปถึงการป้องกันสิ่งที่คาดว่าจะเป็นปัญหาเกิดขึ้นด้วย

โดยกิจกรรมตัวอย่างเช่น
-ตรวจสอบและวัดผลโครงการ
-ทำการป้องกันกิจกรรมต่างๆ
-ทำการทวนสอบและจัดการการเปลี่ยนแปลงของโครงการ
-ตรวจจับเฝ้าระวังความเสี่ยง

เป็นต้น

ขั้นสาม Executing Process Group กลุ่มกระบวนการดำเนินงานของการบริหารโครงการ

การทำ Executing Process ของ PMP นั้นจะทำเรื่องการดำเนินงานตามความต้องการของโครงการให้เป็นไปตามนั้นตอนที่เราได้วางแผนไว้ โดยขั้นตอนนี้จะทำเรื่องการประสานงานของบุคคลากรส่วนต่างๆและทรัพยากรต่างๆ ที่ต้องใช้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ในการทำโครงการ Project ในลุล่วง

โดยขั้นตอนนี้จะทำให้เกียวกับขอบเขตในชัดเจนรวมทั้งการเปลียนแปลงขอบเขตงานด้วย ซึ่งโดยส่วนใหญ่ Executing Process จะต้องทำการดูแผนงานและปรับเปลี่ยนอีกครั้ง เช่น กิจกรรมที่เพิ่มขึ้น การปรับจำนวนทรัพยกร ซึ่งการปรับแผนนั้นอาจส่งผลต่อโครรงการ หรือ ไม่ส่งผลเลย ก็ได้แต่สิ่งที่สำคัญคือ ต้องทำการวิเคราะห์ก่อน ซึ่งการวิเคราะห์จะให้ผลต่อการเปลี่ยนแปลงทันที ทำให้เราได้ Baseline ในการทำ Project ใหม่

โดยวัตถุประสงค์ในขั้นตอน Executing ของการทำ Project management ของ PMP คือ

-ระบุงานที่ต้องทำให้เสร็จในแผนการจัดการโครงการ
-ติดต่อ และจัดการ ทรัพยากร
-นำสิ่งที่เปลี่ยนแปลงมารวมในโครงการ
-แจ้งข้อมูลข่าวสารของโครงการ

โดยกิจกรรมที่ต้องทำในชั้นนี้ได้แก่

Direct and Manage Project Execution
Perform Quality Assurance
Acquire Project Team
Develop Project Team
Information Distribution
Request Seller Responses
Select Sellers

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ขั้นสอง Planing Process Group กลุ่มกระบวนการวางแผนของการบริหารโครงการ

ขั้นนี้เหมือนเป็นหลักการสร้างแบบของโครงการว่าโครงการนั้นมีอะไรที่ต้องทำบ้าง โดยเราจะได้ข้อมูลทรัพยกรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ตารางงาน เวลา งบประมาณ ในการทำงานโครงการอย่างละเอียด รวมไปถึงความต้องการ ความเสี่ยง ข้อจำกัดต่างๆ ในขั้นตอนPlaning Process Group นี้ ซึ่งมีบางคนได้เปรียบเทียบไว้ว่า ขั้นตอนนี้เหมือนกระดูกสันหลัง ดังนั้นเราต้องทำให้มันแข๊งแกร่งที่สุด


"These processes also identify, define, and mature the project scope, project cost, and schedule the project activities that occur within the project."(PMBOKGuide,46,2004)



โดยวัถคุประสงค์จากขั้นตอน Planing Process Group นี้ ได้แก่

-ได้แผนของการบริการโครงการทั้ง 9 ด้าน ของ Knowlegdes area ของ PMP

-ทำ Work breakdown Structure (WBS) แตกงานออกมาดูว่ามีอะไรบ้างที่ต้องทำ

-ระบุความเสี่ยงของโครงการมีอะไรด้านไหนบ้าง



โดยสิ่งที่เป็นกิจกรรมและให้Output ของPlaning Process Group ใน PMP ที่ต้องได้ออกมามีดังนี้


Develop Project Management Plan


Scope Planning


Scope Definition


Create WBS


Activity Definition


Activity Sequencing


Activity Resource Estimating


Activity Duration Estimating


Schedule Development


Cost Estimating


Cost Budgeting


Quality Planning


Human Resource Planning


Communications Planning


Risk Management Planning


Risk Identification


Qualitative Risk Analysis


Quantitative Risk Analysis


Risk Response Planning


Plan Purchases and Acquisitions


Plan Contracting

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หน้าที่ของ System administrators

สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนมาจากวิชา System Admin คือ ได้ทำทุกอย่างจริงๆ เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็น Fileserver Websever ให้สิทธิของผู้ใช้ระบบ ตั้ง LDAP ทำ Backup ระบบ โดยหลายๆครั้ง ที่เรียน ผมเริ่มสงสัยว่า หน้าที่ของ System Admin นั้นทำอะไรบ้าง ที่ผมลองหามาได้ เลยลองหารวมมาให้อ่านๆ กัน
--------------------------------------------------------
จากวิกิพีเดีย
System Admin นั้นเป็นบุคลากรทำหน้าที่ในการดูแลและจัดการในระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบเครือข่ายทำงานได้ โดยความสามารถของSys admin คือ ความรู้เกี่ยวกับ OS โปรแกรมต่างๆ และการแก้ปํญหาเกี่ยวกับ ฮาร์ดแวร์ ซอฟแวร์

"A system administrator, systems administrator, or sysadmin, is a person employed to maintain and operate a computer system and/or network.

The subject matter of systems administration includes computer systems and the ways people use them in an organization. This entails a knowledge of operating systems and applications, as well as hardware and software troubleshooting, but also knowledge of the purposes for which people in the organisation use the computers." http://en.wikipedia.org/wiki/System_administrator
--------------------------------------------------------

จากหนังสือ linux-system-administration. ได้ให้ความเห็นไว้ดังนี้

ผู้ว่าจ้างต้องการให้ System admin เป็นผู้ดูแลระบบพื้นฐาน ซึ่งหมายถึง ระบบ IT ทุกอย่าง

Employers want system administrators who can handle what they deem “infrastructure services.” (Adelstein and Lubanovic,6,2007)
--------------------------------------------------------
จากเว็บ cyberciti
หน้าที่ของ Sys admin นั้นกว้างมาก จากหลายองค์กรแต่ส่วนใหญ่จะทำเกี่ยวการ ติดตั้ง สนับสนุน และ บำรุงรักษาเครื่อง Server และเครื่องคอมอื่นๆใน บริษัท และยังทำแผนและแก้ปัญหาเพื่อทำการบริการและจัดการกับปํญหาอื่น หน้าที่อื่นๆ ก็อย่างเป็น ผู้เขียน Script โปรแกรมเมอร์ หัวหน้าโครงการสำหรับ โครงการที่เกี่ยวข้อง "The duties of a system administrator are wide-ranging, and vary widely from one organization to another. Sysadmins are usually charged with installing, supporting, and maintaining servers or other computer systems, and planning for and responding to service outages and other problems. Other duties may include scripting or light programming, project management for systems-related projects."
http://www.cyberciti.biz/faq/what-is-the-role-of-the-system-administrator/
-----------------------------------------------------

ซึ่งมีอีก บทความหนึ่ง เป็นภาษาไทย ละเอียด เยอะ ลองอ่านกันได้นะครับ ผมไม่อยากลอกทีเดียว http://www.thaiadmin.org/board/index.php?topic=13803.0

จากที่นำมาให้อ่าน ความหมายหน้าที่ของ System admin จะเห็นได้ว่า ต้องมีความสามารถกว้างขวางในหลายๆส่วน ทั้งเรื่อง OS ,Setup ,Maintain อาจารย์ ดร.วรา เคยสอนถึงขั้นวิธีการรับโทรศัพท์ และการเข้าไปหาผู้ใหญ่ รวมถึงมารยาทสังคมด้วย ยิ่งองค์กรใหญ่เท่าไหร งานยิ่งยาก ยิ่งเยอะ ยิ่งซับซ้อน แต่งานหลักของ System admin จริงๆ คือ การบริการนะครับ

หวังว่า คงได้คำตอบหรือสิ่งที่ต้องการจากบทความที่ผมลองค้นคว้ามานะครับ

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ขั้นแรก Initiating Process Group กลุ่มกระบวนการเริ่มต้นของการบริหารโครงการ

ใน PMI ได้อธิบายไว้ว่า ขั้นตอนแรกของการทำโครงการคือ Initiating Processes โดยความหมายคือ กระบวนการที่ปฎิบัติเพื่อตรวจสอบและกำหนดขอบเขตงานในแต่ละขั้นตอนหรือทั้งโครงการซึ่งได้ให้ผลงานแบบต่อเนื่องของโครงการ ซึ่งในหลายๆ ขั้นตอนของกระบวนการเริ่มต้น (initiating processes) นั้น ซึ่งถูกกำหนดจากองค์กร ผู้จัดหากระบวนการ เป็นคนที่ให้ข้อมูลว่ากับขั้นเริ่มต้นของโครงการ



วัถตุประสงค์ของ Initiating Processes ที่อธิบายไว้ใน PMBOK คือ

-สร้าง Project Charter

-มอบหมายงานให้ Project manager

-หาวิธีการควบคุมโครงการ

-มอบทรัพยากรให้กับคณะทำงานในโครงการ


โดยก่อนเริ่มขั้นตอน Initiating Processes นี้ ส่วนใหญ่โครงการนั้นต้องถูกศึกษามาระดับหนึ่งแล้ว โดยต้องทราบสิ่งเหล่านี้ก่อน คือ

-ความต้องการจากทางธุรกิจ(Business Requirment) ต้องทราบถึงความต้องการก่อนว่าทางองค์กรหรือทางธุรกิจนั้นต้องการสิ่งใด และความต้องการนั้นต้องผ่านการเห็นชอบมาแล้ว

-มีการหาทางเลือกอื่นๆให้กับโครงการ (Project selection)เมื่อทราบถึงความต้องการเราต้องทำการหาทางเลือกอื่นๆ ไว้ก่อนด้วย เพื่อมีโอกาสเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

-ศึกษาแล้วว่ามีความเป็นไปได้ (Feasibility)

-มีวัตถุประสงค์ของโครงการแล้ว



เมื่อมีสิ่งเหล่านี้แล้ว โครงการถึงจะเริ่มต้นทำกันได้ โดยในขั้นเริ่มต้นมีดังนี้



ซึ่งสิ่งที่ต้องทำในได้นั้นใน Initiating Processes มีอยู่ 2 อย่างคือ


Develop Project Charter เป็นเอกสารหลักที่ผ่านการตรวจสอบอย่างเป็นทางการโดยผู้ให้การสนับสนุนหรือผู้เริ่มโครงการใช้เพื่อเป็นการยืนยันโครงการกับ ผู้จัดการโครงการให้มีสิทธ์ใช้ทรัพยากรองค์กรในการทำโครงการนั้นๆ


โดยส่วนใหญ่ Project Charter นั้นจะมาจากหรือประกอบ สัญญา ข้อตกลง,ปัจจัยต่างๆในองค์กร,ทรัพยากรของบริษัท,สถานะของโครงการ



Develop Preliminary Project Scope Statement ส่วนนี้จะทำเรื่องขอบเขตงานต่างๆ ในโครงการ เช่น สิ่งที่ส่งมอบ วิธีการยอมรับหรือการส่งมอบงาน วิธีการควบคุมงาน และขอบเขตของงาน โดย Project Charter นั้นถือเป็น ส่วนหนึ่งในการทำPreliminary Project Scope Statement


โดยประโยชน์ของProject Scope ในการจัดการโครงการ (Project management) สร้างขึ้นมาเพื่อยืนยันถึงความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับ ขอบเขตการดำเนินโครงการ หรือขอบเขตความต้องการของระบบใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการทำงานเกินขอบเขต หรือ ScopeCreep นั้นเอง

-----------------------------------------------------------------
ความหมายจาก PMBOK Guide

Project Charter [Output/Input]. A document issued by the project initiator or sponsor that formally authorizes the existence of a project, and provides the project manager with the authority to apply organizational resources to project activities.



"Initiating Processes [Process Group]. Those processes performed to authorize and definethe scope of a new phase or project or that can result in the continuation of halted projectwork. A large number of the initiating processes are typically done outside the project’sscope of control by the organization, program, or portfolio processes and those processesprovide input to the project’s initiating processes group."


"Develop Project Scope Statement (Preliminary) [Process]. The process of developing the
preliminary project scope statement that provides a high level scope narrative."

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552

องค์ประกอบสำตัญของวงจรของโครงการของ PMBOK

การทำงานในแต่ละเรียกว่า Process กลุ่มของกิจกรรมและการกระทำที่เกี่ยวข้องกันที่ต้องทำให้ถึงกลุ่มเป้าหมายที่เราตั้งไว้

Process. A set of interrelated actions and activities performed to achieve a specified set of products, results, or services.(,PMBOK Guide,2004,367)

โดยคุณลักษณะทั่วไปของ Process
ทำโดย ทีมงาน Project
แบ่งขั้นหลัก Initiating ,Planning, Executing, Monitoring & Controlling ,Closing ได้ดังนี้
สามารถทับซ้อนกันได้
ทำเป็นแบบวนรอบได้ Iterative

การแบ่งกลุ่มของการบริหารโครงการ (Project management) โดยทั่วไปจะแบ่ง Process เป็น 5 กลุ่มขั้นตอนดังนี้
• Initiating Process Group
• Planning Process Group
• Executing Process Group
• Monitoring and Controlling Process Group
• Closing Process Group.

อีกส่วนหนึ่งก็คือ 9 Knowledge Areas เป็นการบริหารจัดการด้านต่าง ซึ่งมีสำคัญในการทำงานของโครงการให้ไหลลื่นได้ตลอดเวลา โดยมีดังต่อไปนี้

Project Integration Management
Project Scope Management
Project Time Management
Project Cost Management
Project Quality Management
Project Human Resource Management
Project Communications Management
Project Risk Management
Project Procurement Management

ซึ่ง 5 Phases 9 Knowledge Areas เป็นองค์กรสำคัญในการเข้าใจถึงหลักการบริหารจัดการโครงการ (Project management) ตามหลักของ PMP ซึ่งนำทั้ง 2 อย่างมาประสานกันจะแบ่งออกได้เป็นช่วง ว่าPhase ไหน ต้องทำอะไรในKnowledge Areas ไหนบ้าง ตามรูปภาพจาก IBM

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Load balancing

ผมได้รับงานการติดตั้ง Load balancing ทีห้องคอมแห่งหนึ่ง โดยส่วนตัว ผมเคยได้ยินแต่ชื่อและหน้าที่ของมัน Load balancing บ้างแต่ไม่เคยทำ หรือ เห็นของจริง ก่อนไปทำงานผมต้องศึกษาเรียนรู้ให้มากที่ก่อนสุด

Load balancing เป็นวิธีการเครื่องมือเพื่อทำการกระจายงานให้ Computer แต่ละเครื่องนั้นทำงานให้เท่ากันหรือสมดุลกันในเครือข่ายนั้นๆ เพื่อให้ได้ผลมากที่สุดในเวลาน้อยที่สุด

Load balancing เป็นกระบวนการหรือเทคโนโลยีซึ่งใช้กระจาย traffic ระหว่าง server ใช้บนอุปกรณ์เครือข่าย (Bourke,2001, 1 ,Server Load Balancing)

รูปจาก http://www.digital-web.com/extras/load_balancing/figure1.jpg

ซึ่ง ตัว Load balancing นี้ เป็น Software หรือ Hardware ก็ได้




Project Life Cycle วงจรของโครงการ

ในความหมายของ PMBok Guide วงจรของโครงการคือ แต่ละช่วงของโครงการซึ่งเชื่อมต่อกันระหว่างการเริ่มต้นถึงการเสร็จสิ้นโครงการ

"The project life cycle defines the phases that connect the beginning of a project to its end."(19,2004)

โดยการแบ่งช่วงการจัดการโครงการนั้น ทำเพื่อให้การจัดการบริหาร ควบคุม ในการทำงานเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพของทีมงานและองค์กร

โดย Project Life Cycle ใน PMP หรือในหนังสือ PMBOK แบ่งเป็น 3 ช่วงเวลาหลักดังนี้

  1. เริ่มต้น (Inital) โดยขั้นตอนนี้ เริ่มทำเกี่ยวกับพวก แนวคิด ระบุทีมงาน และ ตั้งขอบเขตของงาน

  2. ขั้นกลาง (Intermediate) วางแผน สร้างBaselineเพื่อตรวจสอบความก้าวหน้าของงาน ทำ Progress และ ทำ Acceptance

  3. สิ้นสุด (Final) ทำการตรวจสอบ และ Handover

เน้นนะครับ ว่าเป็นรูปแบบการแบ่งช่วงใน PMBOK ของ PMI แบบคร่าวๆ เท่านั้นนะครับ ที่แบ่งขั้น ออกเป็น 3 ขั้น เพราะบางมาตรฐานอื่น อาจแบ่ง มากกว่านี้ ซึ่งผมจะอธิบายเพิ่มต่อในบทความต่อไป

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Scope Creep ตัวทำให้งานไม่รู้จักจบสิ้น

Scope Creep เป็นคำศัพท์ที่ใช้ใน การจัดการโครงการ (Project management) หมายถึง ขอบเขตของงานที่โดนขยายไปเรื่อยๆ

ในการเพิ่มเติมการทำงานต่างๆเข้ามา โดยงานเหล่านี้นั้น ไม่อยู่ใน แผน ไม่กำหนดในทรัพยากร และ ช่วงเวลา และไม่ได้รับความเห็นชอบจากลูกค้าอีก ซึ่งเป็นสิ่งอันตราย แต่กลับเกิดขึ้นจริงในการทำงานโครงการต่างๆ แบบที่ไม่มีให้ทำ ไม่สั่งให้ทำ แต่จะทำ ซึ่งเป้นการเสียเวลา และทรัพยากรโครงการโดยใช่เหตุ

แต่ในบางครั้งอาจต้องทำเพื่อให้โครงการสำเร็จได้

ซึ่งคุณลักษณะของโครงการในข้อ การทำงานตามแผน(Progressive Elaboration) นั้นจะไม่พิจารณาเรื่อง Scope Creep

โครงการ (Project) คำนิยามของ PMBOK

ในตอนนี้ผมจะพูดถึงการจัดการโครงการ (Project management) ของสถาบัน PMI ในมาตรฐานของ PMP หรือ PMBok ก่อนนะครับ

โครงการ(Project) คำนิยามของ PMBOK ความหมายคือ “การเข้าทำงานที่มีระยะเวลาชั่วคราวเพื่อสร้าง ผล บริการ หรือสินค้า ที่มีความเฉพาะตัว”

“A project is a temporary endeavor undertaken to create a unique product, service, or result.”

ซึ่งสิ่งที่เป็นเอกลักษณะสำคัญของโครงการนั้น ได้แก่

1. ระยะเวลาชั่วคราว(Temporary) การมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ซึ่งโครงการแต่ละโครงการต้องมีจุดหมายเพื่อเป็นการสิ้นสุด

โดยโครงการจะสิ้นสุดดังนี้
-เมื่อบรรลุถึงวัตถุประสงค์ของโครงการ
-เมื่อสถานการณ์บ่งชี้ให้เห็นชัดว่าวัตถุประสงค์ของโครงการจะไม่บรรลุถึงได้ในอนาคต
-ไม่สามารถเป็นไปได้
-เมื่อไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีโครงการนั้นอีกต่อไป
-โครงการถูกระงับ

ส่วนคำว่าระยะเวลานั้น ไม่จำกัด อาจเป้น เดือน สัปดาห์ วัน ชั่วโมง หรืออาจเป็น ปี ถึง หลายๆ ปี ก็ได้ แต่ในระยะยาวนั้น ต้องมีจุดสิ้นสุดของโครงการ

2. ผล บริการ หรือสินค้า ที่มีความเฉพาะตัว (Unique Products, Services, or Results) โครงการต้องมีผลออกมาที่มีความเฉพาะตัวไม่ว่าจะเป็นรูปแบบบริการ สินค้า หรือ เอกสารทีเป็นประโยชน์

โดยเรื่องความมีเอกลักษณ์(Uniqueness) นั้นเป็นสิ่งสำคัญต่อผลของโครงการมาก งานทุกงานนั้นมีเอกลักษณะตามแต่ละโครงการที่ได้ ซึ่งแม้ผลงานจะเหมือนกัน แต่ความเป็นเจ้าของ การออกแบบ สถานที่ ต่างกัน

3. การทำงานตามแผน(Progressive Elaboration) ซึ่งหมายถึงการทำงานที่ละขั้นตามแผนที่วางไว้อย่างตามเนื่องให้ได้ผลงานเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ โดยในโครงการนั้นต้องมีการแจ้งขอบเขตให้ชัดเจนและอธิบายถึงสร้างที่ต้องการ รายละเอียดต่างๆ ในคนในทีมพัฒนาโครงการนั้นเข้าใจอย่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เกี่ยวกับผลและวัตถุประสงค์ของโครงการ ซึ่งสิ่งที่สำคัญคือ แผนที่วางไว้

โดยเมื่อเริ่มต้น ขอบเขตของโครงการนั้นอาจใหญ่แต่เมื่อทำงานไปเรื่อยๆ ด้วยผลงานที่เสร็จเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วจะทำให้ขอบเขตงานนั้นเล็กลงไป ทำให้เรามุ่งเป้าไปในขอบเขตโครงการที่ชัดเจนขึ้นและสามารถเพิ่มรายละเอียดได้มากขึ้นเพื่อให้โครงการนั้นสมบูรณ์ตามขอบเขตที่ตั้งไว้

คุณลักษณะ 3 อย่างนี้คือ ลักษณะของ โครงการที่ใช้ทำงานตามแผนที่กำหนดไว้ตามระยะเวลาชั่วคราวเพื่อให้ได้ผลงานที่เฉพาะตัว

โดยส่วนใหญ่การกำหนดคำนิยามว่างงานไหนเป็น โครงการก็ดู อยู่ ประมาณ 2-3ข้อคือ

- โครงการนั้นมีระยะเวลาชั่วคราวหรือไม่
- มีเอกลักษณของผลงานหรือไม่
- หาเป้าหมายของโครงการที่จะสำเร็จได้หรือไม่

ถ้ามีทั้ง 3 ประการนี้ กล่าวได้ว่างานนั้น คือ งานโครงการครับ

Project management กับ IT

โดยส่วนใหญ่ งานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นเป็นงานประเภทโครงการ เช่น การสร้างระบบ ERP การสร้างฐานข้อมูล การทำระบบเครื่อข่ายเพื่อเชื่อมต่อกันระหว่างองค์กร เป็นต้น


ซึ่งมีระยะเวลาที่ชัดเจน มีผลงานที่ชัดเจน ดังนั้นหลัการบริหารโครงการนั้นเป็นอีกวิชาสาขาหนึ่งที่สำคัญต่อการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศมาก

ซึ่งหลักการบริหารจัดการโครงการ (Project management) ส่วนใหญ่จะเน้นกันอยู่ใน 3 ส่วนดังนี้

เวลา Time

ต้นทุน Cost

ขอบเขต Scope


ซึ่งว่ากันว่าปัจจัย 3 อย่างนี้ เป็นเก้าอี้ 3 ขา ที่ต้องบริหารสมดุลให้ดีเพื่อให้งานออกมามีคุณภาพมากที่สุด

การจัดการโครงการนั้น เป็นสิ่งสำคัญมากในการทำโครงการทุกโครงการเพื่อให้งานในโครงการนั้นบรรลุไปอย่างที่ต้องการ

ซึ่งได้มีองค์กรหลายๆองค์กร ได้ออกแบบวิธีการจัดการโครงการ Project management ไว้หลายๆ วิธีด้วยกันเช่น

PMI ได้ออกแบบมาตารฐาน PMBok
http://www.pmi.org/Resources/Pages/Default.aspx



PRINCE2 ย่อจากPRojects IN Controlled Environments (Wideman,2002) เป็นมาตรฐานที่รัฐบาลอังกฤษใช้เพื่อจัดการงานโครงการเทคโนโลยีสารสนเทศ

Project Management Process Maturity (PM2) มาจาก Software Engineering Institute (SEI) ของมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon (Keyes,2009)


ซึ่งทั้งหมดเป็น มาตรฐานการจัดการโครงการของแต่ละองค์กรสถาบันที่ได้คิดค้นออกมา ซึ่งแต่ละมาตรฐานหรือวิธีการนั้นมีจุดเด่นจุดด้อยต่างกันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับโอกาสและสถานการณ์ ที่ได้ใช้

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

SaaS Software as a Servic คืออะไร

ในปัจจุบันอุตสาหกรรมซอฟแวร์นั้น เป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่และมีการเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งด้านปริมาณ และ คุณภาพ รวมถถึงสภาพแวดล้อมที่ใช้ Software ทั้งด้าน Hardware Network และ เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปกว่าเมื่อก่อนมาก เป็นผลให้มีการเปลียนวิธี การผลิต ทำการตลาด การบริการ ของ Software ไปมาก จากสินค้าที่บรรจุลงแผ่าน ลงกล่อง กลายเป้นสิ้นค้าที่การเป็นลักษณะบริการ จึงเป็นที่มาของ SaaS Software as a Servic

SaaS นั้น ย่อมาจาก Software as a Service ซึ่งในทางลักษณะบริการกลายเป็น นำ Software ไว้ที่ Webhosting เมื่อลูกค้าซื้อ ก็
สามารถโหลดจาก Webhosting

ซึ่งคุณลักษณะของ SaaS

การใช้ Software การจัดการ รวมการใช้บริหารผ่าน Network
การจัดการต่างๆ ทำโดยส่วนกลางมากกว่าเว็บของผู้ใช้บริการ และผู้ใช้บริการผ่านเว็บไซต์
หลักการใช้เป็นแบบ 1-m
การ update ทำจากส่วนกลาง
ใช้ Network ขนาดใหญ่ในการจัดการ Software

โดยผู้ให้บริการ Software เหล่านี้เรียกว่า ASP application service provider

ตัวอย่างที่ยกให้เห็น ก็คือ http://www.salesforce.com/ เป็น Software CRM ผ่าน Web application ที่ให้บริการ CRM ผ่านเว็บ ซึ่งเป็นลักษณะของ SaaS ที่โดดเด่น ซึ่งได้มีการใช้ Cloud Computing เป็น IT infrastructure ในการให้บริการ

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

สิ่งที่ระบบสารสนเทศให้ประโยชน์กับธุรกิจ IS for Business

การนำระบบสารสนเทศมาใช้ในองค์กรธุรกิจนั้น เป็นสิ่งที่เป็นเรื่องปกติในยุคปัจจุบัน แต่สิ่งที่เราควรนึกการนำระบบสารสนเทศมาใช้นั้นเพื่อตอบสนองการทำงานใดๆ ในธุรกิจ ซึ่งมีคนให้แนวคิดการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อธุรกิจดังนี้

Laudon&Laudon( 8, 2007 ) ได้บอกไว้ว่าวัตถุประสงค์ระบบสารสนเทศทำให้กับธุรกิจคือ

1. Operational Excellence การทำให้การทำงานประจำต่างๆสามารถทำได้ ระบบสารสนเทศนั้นเป็นเครื่องมือช่วยเหลือชนิดหนึ่งซึ่
ช่วยสนับสนุนการทำงานให้เป็นไปได้อย่างเรียบร้อย ไม่ติดขัด และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานให้สะดวกมีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งได้แก่ ระบบ ณ จุดขายต่างๆ เป็นต้น
2. New Product Service and Business Model ซึ่งรูปแบบการทำธุรกิจนั้นคือ การที่องค์กรจะ ผลิด ส่ง ขาย อย่างไร ในการสร้างรูปแบบการบริการหรือสินค้าใหม่ๆ ให้กับองค์กรนั้นสามารถทำได้โดยการนำ ระบบสารสนเทศมาใช้ เช่น การเข้ามาของ E-commer หรือ บริการด้านต่างๆผ่าน Intelnet เป็นต้น
3. Custom and Supplier Intimacy ทำให้มความใกล้ชิดกันมากขึ้นระหว่าง ลูกค้าหรือผู้ค้า กับองค์กรของเรามากขึ้น ซึ่งระบบพวกนี้อยู่ใน CRM SCM ที่ทำหน้าที่กระชับความสัมพันธืให้องค็กรมาต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง หรือ ลดค่าทำการคลาดให้กับองค์กร
4. Improved decision Making ช่วยการทำตัดสินใจทางธุรกิจให้ดีขึ้น ระบบเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่กับ BI DSS ที่ใช้ช่วยนำข้อมูลมาวิเคราะห์ ในรูปแบบต่างๆ และช่วยตัดสินใจ
5. Competitive Advantage ช่วยส่งเสริมการได้เปรียบในการแข่งขันในธุรกิจ อันนี้เป็นที่มาจาก Five force ซึ่งนิยมใช้อ้างอิงในการทำ ทฤษฎี MIS ต่างๆมาก ซึ่งจะอธิบายแยกออกมาอีกบทความที่หลัง
6. Survival เพื่อความอยุ่รอดในโลกธุรกิจในปัจจุบัน

O'Brien,Marakas (9,2006 )อันนี้มาหนังสืออีกเล่มซึ่งอธิบายไว้กระชับกว่าเล่มแรกคือ
1.Support Business Process รับรองการทำธุรกรรมทางธุรกิจต่างๆ ซึ่งเป้นทุกแผนกที่ใช้ระบบ IS เข้ามาช่วยเหลือ
2. Support Decision marking ช่วยทำการตัดสินใจทางธุรกิจให้ดีขึ้น
3. Support Competitive Adavantage เหมือนกันกับด้านบน เพื่อให้องค์กรเราสามารถแข่งขันได้เปรียบกับคู่แข่งมากขึ้น

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

Quality of information

คุณภาพของข้อมูล Quality of information

โดยปกติการทำธุรกิจหรือการใช้ชีวิตประจำวันนั้น เป็นความปกติที่เราต้องรับข้อมูลอยู่ตลอดเวลาไม่ว่ารับทางตรงทางอ้อม ซึ่งข้อมูลที่เรารับแต่ละเรื่องนั้น มีประโยชน์มากน้อยเพียงใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเราสามารถนำข้อมูลไปใช้ได้เพียง โดยข้อมูลที่ดีนั้นสามารถช่วยให้การตัดสินใจมีคุณภาพ

ส่วนการนำข้อมูลไปใช้มากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เราได้รับนั้นมีคุณภาพมากน้อยเพียงไหนนั้นเอง ซึ่งคุณภาพของข้อมูลคำนี้ดูเป็นนามธรรมมากเกินไปสักหน่อย โดยข้อมูลคุณภาพที่ดีอาจหมายความว่า นำไปใช้ได้ง่าย สะดวก ถูกต้อง

ซึ่งเราทำให้เราต้องแยกข้อมูลประเภท ไม่ทันสมัย ไม่ถูกต้อง ยากต่อการเข้าใจ การใช้งาน มีคุณค่าต่อธุรกิจหรือการตัดสินใจต่างๆ ออกมา

โดยปกติคนต้องการข้อมูลคุณภาพสูงนั้น O'Brien กับ Marakas (364,2006) สรุป มิติของคุณภาพข้อมูลแบ่งได้ 3 มิติ คือ
-เวลา คือ เวลาข้อมูลนั้นไม่เก่าไป ปัจจุบันไหม ความถี่มีแค่ไหน ช่วงเวลาใด
-เนื้อหา คือ ถูกต้องไหม บอกเรื่องที่เราต้องการหรือไม่ สมบูรณ์ไหม ขอบเขตเนื้อหาเป็นอย่างไร สามารถตรวจสอบวัดผลได้ไหม
-รูปแบบ คือ ง่ายต่อการเข้าใจ รายละเอียดดีแค่ไหน สื่อที่ใช้แสดงเป็นอย่างไร

ส่วนอีกคนที่อธิบายเรื่องคุณภาพข้อมูลคือ Laudon และ Laudon (497,2007)ได้ให้ มิติของจ้อมูลที่มีคุณภาพไว้ดังนี้
-ถูกต้อง แสดงถึงความเป็นจริงหรือไม่
-Integrity โครงสร้างข้อมูล สัมพันธ์กับ Entities ไหม
-Consistency คือมีความเกี่ยวข้องกันไหม กับสิ่งที่เราต้องทราบ
-Completeness คือข้อมูลนั้นมีความสมบูรณ์ครบถ้วนไหม ข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์อาจทำให้การตัดสินใจอะไรมีการเปลี่ยนแปลงได้
-Validity คือ ที่สำคัญคือ ควรเชื่อถือได้
-Timeliness คือ เก่าไปไหม ไม่ทันสมัยหรือไม่
-Accessibility ส่วนอันนี้น่าจะ สามารถเข้าถึงได้ เอามาใช้ได้

ทั้งหมดคือ คุณภาพของข้อมูลที่มีคนได้กล่าวเอาไว้ สำหรับผม ข้อมูลที่ผิดพลาดนั้นทำให้มีความเสียหายได้หลายระดับ ตั้งแต่ในยุคสงครามโบราณจนถึงปัจจุบันในยุคสงครามธุรกิจ ซึ่งมีคนกล่าวไว้ว่า ในยุคนี้ข้อมูลข่าวสารคือพลัง(Information is Power) แต่ในปัจจุบัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทุกคนสามารถเข้าถึงและรับข้อมูลข่าวสารได้อย่างมหาศาล

แต่ในขณะนี้ การรวบรวม การวิเคราะห์ นั้นเป็นเรื่องยาก แค่ข้อมูลข่าวสารที่ได้รับนั้น มีประโยชน์หรือไม่ เป็นความจริงหรือเท็จ เกี่ยวข้องไหม แค่นี้ก็เหนือยแล้ว แถมยังมีการแปลงข้อมูลข่าวสาร เพื่อให้ได้ประโยชน์กับฝ่ายของผู้ได้รับประโยชน์อีก ดังนั้น สำหรับผม The right information is the best power และต้องเหมาะกับเวลาด้วย

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ธุรกิจนำIT หรือ ITนำธุรกิจ (2)

คนหลายคนอาจสงสัยคำถามนี้บ้าง

ส่วนใหญ่พวกที่จบมาจากสายตรงแนว IT มักจะมองว่า IT แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ถ้ามีมุมมองแบบนี้อย่างเดียวรับรอง ใช้ชีวิตลำบากในบริษัททั่วไป

สิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ เราต้องตอบคำถามให้ได้ก่อน ว่า เรากำลังทำอะไร พอเราตอบคำถามนี้ได้แล้ว จึงค่อยหาสิ่งที่เหมาะสมมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

การนำ IT มาใช้ อย่าคิดว่ามันง่ายขึ้น ดีขึ้น ระบบบางอย่างนำมาใช้แล้ว มีปัญหากับคนกรอกข้อมูล คนใช้ระบบที่เรานำมาใช้ เค้าไม่ได้เป็น IT ระดับเราทุกคนหรอกครับ กรณีศึกษาหลายๆ กรณี ก็จะบอกปัญหาเรือ่งการใช้ IT ในองค์กร ถ้ามันใหม่เกิดไป ยากเกินไป รับรอง เงินที่ลงทุนไปสูญปล่าวแน่นอนครับ แถมคนทำอาจโดนตราหน้าด้วย

อีกอย่าง IT มันแพงมากครับ

บริษัทแห่งหนึ่ง ซื้อ License MSOffice มาใช้่แล้ว ทำการฝึกอบรมพนักงานไรไปซัก 3เดือน ก็เลิก License เพื่อมาใช้ Openoffice แทน เพราะอะไรครับ

MSOffice ดีกว่าทุกอย่าง แถมคุ้นตากว่า Openoffice อีก

ข้อเสียอย่างเดียวคือ มันเสียเงินมากกว่า Open office นี้เป็นอีกตัวอย่างที่นโยบายนั้นเน้นประหยัด แม้คนทำอาจชอบ MSOffice มากกว่าก็ตาม

อันนี้แค่ โปรแกรมออฟฟิตนะครับ ถ้าระบบองค์กรละก็ ต่ำๆ ต้องมี 100 ล้านมาตั้ง ถึงจะติดตั้ง Implement ระบบได้

อย่าง SAP ผมเคยได้ยินคนบอกว่า ถ้า ยอดขายไม่เกิน 100 ล้าน อย่าใช้เลย ไม่คุ้มแน่นอน

แต่ถ้าธุรกิจใช้ระบบพวกนี้ได้ตรงที่ต้องการ มันจะทำประโยชน์ให้กับบริษัทได้อย่างมหาศาสแน่นอนครับ

เพราะฉนั้น การจะนำ ไอที มาใช้ กับธุรกิจ เราต้องตอบให้ได้ก่อนว่า

ธุรกิจเราทำอะไร แล้ว IT สนับสนุนธุรกิจเราอย่างไร

ถ้าเราทำพวก ผู้ผลิต ก็ ให้ พวกระบบโรงงานมาเป็น IT หลักที่เราต้องทุ่มงบลงไป

ถ้าเราเป็นสินค้าการแข่งขันสูง เน้นพวกลดต้นทุน ก็ไปเน้นพวก SCM

ถ้าเราเป็นสินค้าบริการ เน้นพวก CRM เพื่อมัดใจลูกค้าให้เกิดความภักดี

แต่กรณีที่คิดว่าธุรกิจเราทำพวก IT เทคโนโลยีเป็นหลัก ธุรกิจอย่างนี้ละครับ ที่ต้องให้ IT นำ เช่น พวกบริิษัทเขียนโปรแกรมเป็นต้น เทคโนโลยีอะไรมา เราก็ต้องพัฒนาให้ทัน

ส่วนพวกที่ต้องนำ IT เช่น MicroSoft,Google,Apple พวกนี้เป็นผู้นำในตลาดอยู่แ้ล้วมีหน้าที่่อย่างเดียว คือต้องนำให้ตลอด สิ่งที่ต้องทำคือ คิด นวตกรรม อยู่ตลอดเวลา

อย่างเช่น iPhone ตอนออกใหม่ๆ นับว่าเป็นสุดยอดนวตกรรม การจับ การสไลด์และอื่นๆ แต่ผ่านไป มือถือ เกือบทุกยี้ห้อ ทำได้หมดแล้ว แต่อย่างน้อย ก็ทำให้ Apple ได้กำไรไปอย่างมหาศาล ในช่วงแรกๆ

จากกรณีของ iPhone ทำให้เห็นได้ว่า นวตกรรมที่ดีในอดีต เป็น มาตรฐานให้ปัจจุบัน อาจารย์สอน KM ผม บอกว่า สิ่งที่ได้เปรียบในปัจจุบัน อาจไม่ใช่ความได้เปรียบในอนาคต การแข่งขันในโลกสิ่งเดียวที่ต้องทำคือทำอย่างไรให้ได้เปรียบในการแข่งขันมากที่สุด

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

F1 คู่มือของทุกโปรแกรม

ปกติการทำ ระบบ หรือ โปรแกรม นั้นปัญหาที่เจอส่วนใหญ่คือ เราไม่ใช้โปรแกรมนั้นไม่เป็น หรือไม่เข้าใจ ส่วนใหญ่ ถ้าเราไม่เคยใช้โปรแกรมนั้นมาก่อน

ในกรณ๊อย่างนี้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ มั่ว ไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะทราบว่า โปรแกรมหรือระบบนั้นใช้งานอย่างไร

แต่ความจริงมีวิธีง่ายกว่านั้น คือ เราต้องอ่าน Help โปรแกรมที่ดี นั้นส่วนใหญ่ Help จะมี Tutorial ให้ด้วย

ซึ่งส่วน ทุำกโปรแกรม กด F1 เหมือนกันหมด อยากให้ทุกคน ที่ไม่รู้ว่าอะไร ใช้อย่างไรในโปรแกรม ไม่ยากให้มั่วกันมานะครับ

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ข้อได้เปรียบของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ Competitive advantage from IT

การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนั้น ถ้าใช้ให้ถูกต้องจะสามารถสร้างความได้เปรียบให้กับการแข่งขันในธุรกิจได้อย่างมากมาย ซึ่ง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนั้นให้ความได้เปรียบดังนี้

1. ลดต้นทุน
การมีระบบจัดการที่ดีและระบบแจ้งข้อมูลต่างๆให้ได้อย่างละเอียดนั้น ทำให้เราสามารถทราบข้อมูลในการทำธุรกิจได้จริงอยู่ตลอดเวลา ย่อมทำให้ความสิ้นเปลืองต้นทุน เวลา นั้นลดลง

ระบบที่ใช้ให้งานแบบนี้ได้แก่ ERP, SCM เป็นต้น

2.สร้างนวตกรรมหรือความแตกต่างให้กับสินค้า
การที่สินค้าและบริการที่อยู่ในตลาดนั้นสามารถแข่งขันก็สินค้าบริการรายอื่นๆได้นั้น ความแตกต่างเป็นประเด็นสำคัญ ที่สามารถช่วยให้สินค้าบริการอยู่เหนือกว่าคู่แข่งได้

ระบบที่ใช้ให้งานแบบนี้ได้แก่ Datamining, KM, BI เป็นต้น

3.ใช้สร้างความเติบโต
การขยายบริษัทให้เป็นสากล กระจายไปได้ในทั่วโลกโดยใช้ระบบ IT ที่เป็นระบบเดียวจัดการได้ทั่วโลก

ระบบที่ใช้ให้งานแบบนี้ได้แก่ ERP เป็นต้น

4.บังคับของคู่ค้าและลูกค้า สร้างต้นทุนในการเปลี่ยนการค้าขาย
เป็นการทำให้เกิดต้นทุนในการเปลี่ยนเทคโนโลยี Switching costs เพราะถ้าเปลี่ยนแปลงคู่ค้านั้น อาจต้องลงทุนเทคโนโลยีใหม่เพิ่มเติมซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนที่สูง

ระบบที่ใช้ให้งานแบบนี้ได้แก่ SCM,XML,EDI,SOA เป็นต้น

5.สร้างกำแพงของคู่แข่งรายใหม่
การลงทุนจำนวนมากทำให้คู่แข่งรายใหม่ต้องมีปัญหาในการลงทุนด้วย ซึ่งถือเป็นข้อกีดกันไม่ให้มีคู่แข่งรายใหม่อีกหนึ่งประเด็น ทำให้ต้นทุนการทำธุรกิจสูงขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ธุรกิจนำIT หรือ ITนำธุรกิจ

ในปัจจุบัน การนำ IT มาใช้กับงานต่างๆ อุตสาหกรรมต่างๆ นั้น เห็นได้อยู่ทั่วไปเพราะ IT นั้นช่วยให้งานต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และช่วยให้ได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดได้ดีขึ้น

ซึ่ง IT ส่วนใหญ่นั้น พัฒนามาจากแนวความคิดจากทางธุรกิจต่างๆ แล้วนำมาประยุกต์สร้างเป้น Appreciation program นั้นเอง

โดยส่วนใหญ่องค์กรที่ต้องใช้งานแบบพื้นฐาน ได้แก่ โปรแกรม พวกจัดการเอกสาร พวกจัดการงานทั่วไป เป็นต้น โดยพวกยอดนิยม ที่ต้องมี ทุกเครื่องได้แก่

แนวเสียค่า License ได้แก่
- Windows OS
- MS Office


แนว open source ได้แก่
- Linux OS
- Open office

ส่วนระบบอื่นๆ ที่เข้ามาช่วยงา่น เช่น บัญชี จัดซื้อ HR หรือระบบองค์กรใหญ่ ERP MRP SCM CRM BI KMs เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ระบบพวกนี้พัฒนามาจากแนวคิดของฝั่งธุรกิจโดยนำ IT มาสร้างระบบให้ได้อย่างที่ต้องการ ซึ่งก็มีทั้งถูกแพงและฟรีเหมือนกัน

บางครั้ง คนอาจสงสัยว่า IT นำ Business หรือ Business นำ IT เป็นสิ่งที่ต้องคิดในการลงทุนด้าน IT

ขออนุญาติเขียนในบทความต่อไปนะครับ

Freemind for mindmap เครื่องมือโปรแกรมทำแผนที่ความคิด

การทำ Mindmap ที่แปลเป็นไทยได้ว่า ผังมโนภาพ หรือ แผนที่ความคิด เป็นภาพที่ใช้เพื่อแสดงความคิดหรือองค์ประกอบต่างๆ ใช้งานได้หลายแบบ ผมเคยมีอาจารย์มาถามว่าจะสอนไรบ้าง อาจารย์แกก็เอาทุกอย่างมาไว้ใน Mind map ให้ทุกคนระดมความคิดกัน ก็เป็นการใช้ประโยชน์จาก Mindmap อย่างหนึ่ง

ซึ่งความหมายอื่นๆ ที่มีคนให้นิยามก็จาก wiki
"รูปจำลองที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่องโยงของมโนภาพที่สัมพันธ์กัน โดยปกติจะใช้รูปวงกลมแทนมโนภาพหรือความคิด และเส้นลูกศรแทนลักษณะและทิศทางของความสัมพันธ์นั้น มีคำกำกับไว้ว่าวงกลมแทนมโนภาพของอะไร เส้นลูกศรแทนความสัมพันธ์ในลักษณะและทิศทางใด ในบางครั้งมีการใช้การเน้นและแจกแจงเนื้อความด้วยสีและการวาดรูปประกอบ"

โปรแกรม Freemind เป็นโปรแกรมที่ช่วยทำ Mindmap ที่สำคัญยังเป็น Opensource และไม่ต้องการความต้องการประสิทธิเครื่องมากที่ไร และใช้งานได้หลาย Platform os ด้วย

http://freemind.sourceforge.net/wiki/index.php/Main_Page

Mindmsp เป็นเครื่องมือรับรองใช้งานได้หลายประเภท เหมาะการทำงาน การเรียนแน่นอน ผู้ที่สนใจขอให้ลองใช้ลองศึกษาดูนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Virtual machine เครื่องคอมบนเครื่องคอม

โดยปกติการใช้คอมพิวเตอร์นั้น มีองค์ประกอบสำคํญๆ คือ

Hardware

Software

โดยหลักการง่ายๆ คือ Softwareเป็นชุดคำสั่งทำงานบน Hardware ด้วยความมหัศจรรย์ของเลข 01 จำนวนมหาศาล ทำให้เรามีคอมพิวเตอร์ได้ใช้งานอยู่ทุกวันนี้

โดยปกติคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่อง มีระบบปฎิบัติการ หรือ เรียกทั่วไปว่า OS 1 ตัว (โดยปกติ)ซึ่งปกติคอมพิวเตอร์ทั่วไปนั้นใช้ Window ของไมโครซอฟ Mircosoft ใช้สถาปัตกรรม Hardware ทั่วไป ทำเพื่อรองรับ Window อยู่แล้ว อาจมี OS อื่นๆ เข่น ตระกูล Linux บ้าง แต่เป็นส่วนน้อย

แต่ในการทำ Server ซึ่งมีความหลากหลายมากกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วไป ทั้ง Hardware และ OS

โดยส่วนใหญ่ Srever ทำ Hardware มาเฉพาะเจาะจง กับ OS แต่ละค่าย ซึ่งบางครั้งOS แต่ละค่าย ก็มีจุดเด่นแตกต่างกัน การซื้อ Hardware มาเพิ่มก็ทำปัญหาด้านเนื้อที่ การบำรุงรักษาของ Datacenter อีก


ดังนั้น จึงมีการคิด Virtualization โดยส่วนใหญ่ที่ผมกล่าวมาจะเป็น Platform virtualization หรือที่เรียกกันส่วนใหญ่คือ Virtual machine



โดย มีคนอธิบายเกี่ยวกับ Virtualization http://www.kernelthread.com/publications/virtualization/ ตามLink นะครับ


โดยความหมายของ virtual machine คือ software ที่อยู่บนคอมพิวเตอร์ซึ่งทำหน้าที่เหมือนคอมพิวเตอร์อีกเครื่อง จาก http://en.wikipedia.org/wiki/Virtual_machine


"(VM) is a software implementation of a machine (computer) that executes programs like a real machine"


ซึ่งข้อดีที่ผมใช้ นั้นคือ
-การศึกษาคอมพิวเตอร์ต่างๆครับ ผมสามารถ ศึกษา Linux ได้โดยไม่ต้องลบ Window ลงอะไรก็ไม่ต้องกังวล ว่าจะกินresource เครื่อง
-นำไปใช้ที่เครื่องคอมอื่นๆ ได้
-อยากลองอะไรกับ sotfware คอมพิวเตอร์ก็ได้
- clone หรือ copy ได้


ข้อเสีย
-เล่นเกมลำบาก หน้าจอเล็ก
-กินประสิทธิเครื่องมาก

ส่วน virtual machineมีหลายบริษัทที่ได้ผลิด ซึ่งผมแนะนำ 3 ตัว ได้แก่ VMware อันนี้ ตอนเรียนได้รับคำแนะนำ http://www.vmware.com/


Microsoft Virtual PC ค่ายไมโครซอฟท์ http://www.microsoft.com/windows/virtual-pc/

Xen เป็น Opensouecr ครับ แนะนำให้ลองใช้กัน http://www.xen.org/


นั้นละครับ สำหรับผู้ต้องการศึกษาอะไรเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหลาย แนะนำให้ลองหามาใช้ดูนะครับ ได้ไม่หงุดหงิดเวลาทำอะไรแล้ว คอมพิวเตอร์มีปัญหา

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Data Vs Information Vs Knowledge

ในวิชาเกี่ยวกับการจัดการเทคโนโลยีส่วนใหญ่คำถามแรกที่ต้องโดนทิ้งให้คิดการคือ Data กับ Information ต่างกันอย่างไร โดยคำตอบส่วนใหญ่ก็ออกมาเป็นดังนี้

Data คือ สิ่งที่เกิดขึ้นและยังไม่ผ่านกระบวนการเพื่อหาความหมาย
Information คือ Data ที่ผ่านกระบวนการประมวลผลแล้ว

นอกจากนั้นเรียนเพิ่มเติมไปกว่านั้น ยังมี Knowledge สูงกว่านั้นยังมี Wisdom อีก

โดยส่วนใหญ่วิชาที่ให้ความสำคํญกับ Data มากๆ เป็นเรื่องวิชา ออกแบบฐานข้อมูล (Database design) ซึ่งเราต้องคิด ค้นหา ตลอดว่าในระบบแต่ละระบบต้องมี Data อะไรบ้าง และกลุ่มของ Data นั้นเป็นอย่างไร ใครควรอยู่ด้วยกัน ความสัมพันธ์ของ Data ของเป็นในรูปแบบไหน ซึ่งนับเป็นฐานข้อมูลที่จะนำไปสร้าง Information Knowledge Wisdom ต่อไปในแต่ละองค์ ในระดับเทคโนโลยีก็มีเครื่องมือประเภท DBMS เป็นตัวจัดการข้อมูลเหล่านี้ทำหน้าที่จัดเก็บ แสดงผล

ต่อมาเรื่อง Information เป็นเรื่องของระบบที่นำข้อมูลเหล่านี้มาผ่านกระบวนรูปแบบต่าง เช่น ผ่านคำถามง่ายๆ จนไปถึงการใช้หลักสถิติ และสมการคณิตศาสตร์เข้ามาช่วย โดย เทคโนโลยีด้าน Information นั้น มีได้แก่ พวก BI, Data mining เป็นต้น

ซึ่งเหนือจาก Information แล้ว ผมมองว่าเป็นเรื่องของคน ที่ต้องนำสิ่งที่ได้จาก Information เป็นKnowledge เพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป ซึ่งอาจมีเครือ่งมือจัดการ Knowledge บ้าง แต่ Knowledge ที่เป็นตัวอักษร ไม่สามารถมีประโยชน์ ถ้าไม่มีใครนำไปอ่านหรือทำเข้าใจกับมัน

ซึ่งเห็นไ้ด้ว่าสุดท้ายเทคโนโลยีอาจใช้ได้แค่ช่วยมนุษย์ในความสะดวกขึ้นได้ แต่ถ้าไม่มีใครนำ Information จากเทคโนโลยีไปใช้ สุดท้ายมันก็เป้น Information ที่มีอยู่มากมายในโลกแล้วไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ขึ้นมา ดังสุภาษิตไทยที่ว่า "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด"

แถมท้่ายจาก http://www.systems-thinking.org/dikw/dikw.htm ในความหมายระดับของ ความรู้

(Ackoff,1989)

Data... data is raw. It simply exists and has no significance beyond its existence (in and of itself). It can exist in any form, usable or not. It does not have meaning of itself. In computer parlance, a spreadsheet generally starts out by holding data.

Information... information is data that has been given meaning by way of relational connection. This "meaning" can be useful, but does not have to be. In computer parlance, a relational database makes information from the data stored within it.

Knowledge... knowledge is the appropriate collection of information, such that it's intent is to be useful. Knowledge is a deterministic process. When someone "memorizes" information (as less-aspiring test-bound students often do), then they have amassed knowledge. This knowledge has useful meaning to them, but it does not provide for, in and of itself, an integration such as would infer further knowledge. For example, elementary school children memorize, or amass knowledge of, the "times table". They can tell you that "2 x 2 = 4" because they have amassed that knowledge (it being included in the times table). But when asked what is "1267 x 300", they can not respond correctly because that entry is not in their times table. To correctly answer such a question requires a true cognitive and analytical ability that is only encompassed in the next level... understanding. In computer parlance, most of the applications we use (modeling, simulation, etc.) exercise some type of stored knowledge.

Understanding... understanding is an interpolative and probabilistic process. It is cognitive and analytical. It is the process by which I can take knowledge and synthesize new knowledge from the previously held knowledge. The difference between understanding and knowledge is the difference between "learning" and "memorizing". People who have understanding can undertake useful actions because they can synthesize new knowledge, or in some cases, at least new information, from what is previously known (and understood). That is, understanding can build upon currently held information, knowledge and understanding itself. In computer parlance, AI systems possess understanding in the sense that they are able to synthesize new knowledge from previously stored information and knowledge.

Wisdom... wisdom is an extrapolative and non-deterministic, non-probabilistic process. It calls upon all the previous levels of consciousness, and specifically upon special types of human programming (moral, ethical codes, etc.). It beckons to give us understanding about which there has previously been no understanding, and in doing so, goes far beyond understanding itself. It is the essence of philosophical probing. Unlike the previous four levels, it asks questions to which there is no (easily-achievable) answer, and in some cases, to which there can be no humanly-known answer period. Wisdom is therefore, the process by which we also discern, or judge, between right and wrong, good and bad. I personally believe that computers do not have, and will never have the ability to posses wisdom. Wisdom is a uniquely human state, or as I see it, wisdom requires one to have a soul, for it resides as much in the heart as in the mind. And a soul is something machines will never possess (or perhaps I should reword that to say, a soul is something that, in general, will never possess a machine).



Ackoff, R. L., "From Data to Wisdom", Journal of Applies Systems Analysis, Volume 16, 1989 p 3-9.

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Biometric

Biometric

ในปัจจุบันการใช้การระบบคอมพิวเตอร์ได้พัฒนาการนำศาสตร์แขนงอื่นๆ มาเพื่อเพื่อประสิทธิภาพการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ และระบบคอมพิวเตอร์นั้นทำหน้าที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพศาสตร์แขนงอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
สาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์คือ ระบบความปลอดภัย ซึ่งได้มีการพัฒนามาเพื่อใช้พิสูจน์และยืนยันตัวตน ซึ่งได้มีการพัฒนาแนวทางงานวิจัยไปหลายแนวทาง โดยหนึ่งในแนวทางที่พัฒนา คือการนำการคุณลักษณะทางชีววิทยาของมนุษย์นำมาประยุกต์ ใช้กับระบบคอมพิวเตอร์เพื่อทำการแยกบุคคล และพิสูจน์ตัวบุคคล ซึ่งคุณลักษณะของมนุษย์นั้น มีอัตราความการซ้ำ หรือเหมือนกันนั้นต่ำมาก เรียกวิชาสาขานี้ว่า Biometric

ในความหมายของ Biometric มาจากคำ 2 คำ คือ
• Bio- ชีวิต
• Metric – หน่วยวัดต่างๆ
โดยมีบุคคลให้นิยามความหมาย Biometric ไว้ดังนี้
“การใช้คุณลักษณะหรือพฤติกรรมบางอย่างในสิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ และสามารถเทียบวัดหรือนับจำนวนได้มาผนวกเข้ากับหลักการทางสถิติ เพื่อการแยกแยะหรือจดจดแต่ละบุคคล” (เอกรินทร์ ซื่อธานุวงศ์,2547)

ปัจจุบันการใช้ Biometric นิยมใช้ในงาน 2 กรณี
• การระบุตัวตน( Identification ) คือ การเปรียบเทียบผู้ใช้ Biometric เพื่อยืนยันตัวตนจากฐานข้อมูลในระบบทั้งหมด โดยการเปรียบเทียบเป็นรูปแบบ หนึ่งต่อมากกว่าหนึ่ง (1:N)
• การตรวจพิสูจน์( Behavioral ) คือ การเปรียบเทียบผู้ใช้ Biometric เพื่อยืนยันตัวตน โดยการเปรียบเทียบเป็นรูปแบบ หนึ่งต่อหนึ่ง (1:1)

โดยการจำแนกประเภทของใช้ตัวเทียบวัดตามหลักของ Biometrics มี 2 ประเภทคือ
• หลักทางกายภาพ( Physiological ) คือ สิ่งที่แยกยะได้จากเอกลักษณ์จากร่างกายของมนุษย์ เช่น ใบหน้า ลายนิ้วมือ เป็นต้น
• หลักทางพฤติกรรม( Behavioral ) คือ สิ่งที่แยกยะออกด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น ลายนิ้วมือ เสียงเป็นตน

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ครูใหญ่ 3 คน ในโลกออนไลน์

มีโอกาสได้กินข้าวกับ ดร.วรา อาจารย์จากพระนครเหนือ ซึ่งได้ความรู้ใหม่ๆ และแง่คิดมากเลย ซึ่งดร.วรา ได้เล่าให้ฟังไว้เรื่องหนึ่ง คือ "อาจารย์ยืน (ยืน ภู่วรวรรณ) เคยบอกไว้ว่า ปัจจุบันตอนนี้มีครูอยู่ 3 คน" ซึ่งครู 3 คนนี้ได้แก่

1. ครูกู (Google)
2. ครูวิ ( Wikipedia )
3. ครูยูป ( Youtube)

พอฟังเสร็จ ก็ นึกได้ว่า ผมก็มีครู 3 คนนี้มาตลอด ปัจุจุบันแทบไม่มีวันไหน ไม่เคย ไม่เปิด 3 เว็บไซต์นี้เลย

Google
เป็น search engine ที่นิยมใช้งานมาที่สุดในเวลานี้ ซึ่งทำให้ทุกอย่างสามารถค้นหาได้อย่างง่ายมากขึ้นอย่างรู้อะไรก็ค้นหาได้ รวมไปถึงมีให้ทั่วแผนที่ เครื่องมือแปลภาษา และผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งเครื่องมือส่งเสริมธุจกิจบนเว็บไซต์อีก Adsence Adword ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกิดและโตอย่างรวดเร็วมาก

สิ่งที่ได้จาก Google คือความรู้จำนวนมหาศาสเกือบทุกเรื่องใครหน้าไหนสนใจเรื่องอะไร Google ก็หาได้หมด ซึ่งใครต่อใครนำมาไว้บนโลกอินเตอร์ ไม่เว้นแม้กระทั้ง Blog ของผม ก็ค้นหาได้จาก Google ด้วย

Wikipedia
คือ สารานุกรมออนไลท์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เขียนโดยผู้คนหลากหลายมากหน้าหลายตาในโลกอินเตอร์เน็ท ซึ่งความแตกต่างในการหาข้อมูลกับ Google คือ การที่มีเนื้อหานั้นแค่หนึ่งเดียว สมมุติ ว่าคุณหา คำว่า IP Address ใน google กับ IP Address ใน wiki นั้นสิ่งที่ได้ต่างกันคือ เนื้อหาจากเว็บไซต์หน้าเดียว กับไม่รู้กี่ล้านเว็บไซต์

ซึ่งความหลากหลาย อาจแตกต่างกัน ซึ่งสังเกตุได้ว่า wiki นั้นมีส่วนอ้างอิงอยู่เยอะมาก เพื่อทำให้บทความนั้นมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

Youtube
เว็บวีดีโอที่ใหญ่ที่สุดในโลก สิ่งที่ผมได้จากที่นี้ คือ วิดีโอหลากหลาย มีตั้งแต่ผิดชอบชั่วดี คลิปการเมืองที่ดี และ ไม่ดี ผสมกันไป รวมไปถึงคลิป MV ดารารเกาหลี และอื่นๆ อีกมหาศาล ผมใช้ Youtube ประมาณ ปี 49 ซึ่งตอนนั้นยังไม่ค่อยคนไทยโพสเท่าไร และไม่คิดว่าเว็บ Youtube จะแจ้งเกิดได้ในไทย แต่เมื่อโลกเทคโนโลยีเปลียน มือถือทุกคนถ่ายวิดีโอได้หมด ก็แน่นอนว่า เว็บโพสวิดีโอก็โตตามด้วย รวมถึง มีทั้งข่าวในประเทศ รายการ รวมถึงหนังฮอลลีวู้ต ได้พูดถึงเยอะมาก ทำให้ทุกคนรู้จักเว็บ Youtube ดีขึ้น และเป็นแหล่งเว็บชุมชนใหม่ ในกับคนไทยไปโดยปริยาย

ซึ่งวีดิโอที่หลากหลายทำให้ผู้ชมต้องเลือกชมสิ่งที่ต้องการเอง ส่วนผมใช้หาความรู้แปลกใหม่ๆ ไม่น่าบ้างคนเอา วิดีโอสอน จาก MIT มาโพสไว้ ซึ่งทำให้เราได้รู้ว่า ไอ้ที่ว่าเก่ง เค้าสอนกันอย่างไร

รวมถึง งานศิลปะ ทั้งวาด ระบายสี ด้วย สีน้ำมัน เกรยอง ชาโคล เค้าทำกันอย่างไร

เรียนเปียโน อยากได้ตัวอย่างของ สเกล ทั้งหลาย ก็มีคนถ่ายมาให้ดู

เนี่ยละครับ

ครูใหญ่ 3 คน ซึ่ง มีวิธีการสอนแบบแตกต่างกันไปตาม สไตล์ใครสไตร์มัน

สุดท้ายการใช้สื่อพวกนี้ต้องขึ้นอยู่กับผู้ใช้ จะนำประโยชน์มาใช้ได้มากแค่ไหน อาจไปคุณอนัันต์ หรือ โทษมหันต์ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ละครับ

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ค่ายหนังสือ IT ที่ผมชอบ

โดยปกติหนังสือที่เราที่้อ่านเพื่อหาความรู้เพิ่มเติม หรือมุมมองอะไรที่แปลกใหม่ในหนังสือแต่ละเล่ม แม้เป็นหนังสือเนื้อหาเดียวกัน แต่ในการที่คนเขียนแต่ละอาจอธิบายหรือเรียบเรียงออกมาต่างกัน ก็สามารถทำให้ได้ความรู้มุมใหม่ ๆ ได้

ส่วนความรู้ในสาขา IT ต่างๆ ต้องยอมรับว่า ความรู้เหล่านี้มาต่างประเทศโดยเกือบทั้งหมด ดังนั้น หนังสือ IT ทีมีเนื้อหาดี ส่วนมากจะเป็นหนังสือต่างประเทศ อีกทั้งภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล ทำให้มีหนังสือจำนวนมากและหลากหลาย

ส่วนหนังสือภาษาไทยปัจจุบันยังเป็นการแปลหรือเรียบเรียงใหม่ เพื่่อทำให้อ่านง่ายจากภาษาอังกฤษ แต่ก็ต้องยอมรับว่าหนังสือนั้นมีน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับหนังสืออังกฤษ ดังนั้นหนังสือที่ผมจะแนะนำ เป็นค่ายหนังสือจากต่างประเทศ ซึ่งคิดว่า หาจะหาซื้อได้จากหนังสือตามห้าง IT ส่วนใหญ่ หรือสามารถอ่านจากหนังสมุดในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้นะครับ

Apress
หนังสือสำนักพิมพ์นี้ ส่วนใหญ่เป็นพวกเขียนโปรแกรม มีตั้งแต่ เริ่มต้น จนถึง ขั้นสูง โดยมีทั้ง .NET ของ Microsoft และ Open Source รวมถึงหนังสือประเภทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ IT เช่น System Administration และ Database/SQL

โดยลักษณะของสำนักพิมพ์ คือ หนังสือทุกเล่มจะมีพื้นหลังสีดำ และ ตัวอักษรสีเหลือง
http://www.apress.com/

O reilly
เจ้าของคำนิยม Web 2.0 สำนักพิมพ์นี้ เน้น แนวโปรแกรมมิ่ง แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์คือ หน้าปกหนังสือ จะเป็นรูป สิงสาราสัตว์ ส่วนตัวผมชอบสำนักพิมพ์ แนวงานเขียนส่วนใหญ่เหมือนหนังสือเรียน
http://oreilly.com/

Wrox
หนังสือสำนักพิมพ์นี้ ส่วนใหญ่เป็นพวกเขียนโปรแกรม มีตั้งแต่ เริ่มต้น จนถึง ขั้นสูง มีแต่เขียนโปรแกรมล้วนๆ
โดยลักษณะของสำนักพิมพ์ คือ ใช้สีแดง แลเะ หน้าปก ขาวดำ โดยส่วนนิยมเอาหน้าคนเขียนมาใช้ขึ้นหน้าปกด้วย
http://www.wrox.com

Friends of Ed
สำนักพิมพ์นี้ เน้นหนังสือ เพื่อนักกราฟฟิกหรือดีไซน์เนอร์ทาง IT ที่ต้องการเพิ่มฝีมือเขียนโปรแกรมด้วย Actionscript ของค่าย Adobe และการเขียนเว็บ ออกแบบเว็บ โดยเนื้อหานั้นไม่ยาก มีตัวอย่างและรูปภาพชัดเจน
http://www.friendsofed.com/

SAMs
เจ้าของหนังสือ เขียนโปรแกรมได้ภายใน ........ วัน (Teach Yourself xxxx in xx Days)
http://www.samspublishing.ca/

Springer
สำนักพิมพ์นี้มีหนังสือประเภทอื่น ๆ แต่หนังสือประเภท คอมพิวเตอร์นั้น เน้นไปพวก ทฤษฎี ใครอยากรู้แนวคิดทฤษฎีใหม่ๆ ก็ลองหาอ่านได้นะครับ
http://www.springer.com/computer?SGWID=0-146-0-0-0

for Dummies
สำนักพิมพ์นี้ มีทุกแนวจริงๆ แต่ ง่าย หลากหลาย สมชื่อ
http://www.dummies.com/

ส่วนสำนักพิมพ์อื่นๆ ที่หนังสือมีหลายแบบ มีหนังสือ IT อีกหลายแบบ
QUE
Sybex
Addison Wesley
Packt Publishing

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2552

wordpress 1

ฺBlog เป็นรูปแบบของเว็บไซต์ชุมชน รูปแบบหนึ่ง โดยส่วนใหญ่ ลักษณะจะเป็น ในการให้เจ้าของ Blog นั้นเป็นคนเขียนข้อมูลและนำขึ้น โดยให้ผู้อื่นเข้ามาอ่านและแสดงความคิดเห็นได้

ซึ่งในปัจจุบันเราสามารถพบเห็น blogได้ โดยทั่วไปใน google

โดยทั่วไป blog ที่นิยม ได้แก่ www.blogger.com เป็นต้น

แต่ในกรณีทีเราต้องการสร้าง Blog ด้วยตัวเราเอง ต้องใช้Software พวก blogging engine เช่น wordpress

โดยสามารถ download ได้จาก

http://wordpress.org/download/

XAMPP (1) : มารู้จัก XAMPP กันก่อน

ในการทำ Web app สักอย่าง ภาษาที่นิยมติดอับดับต้นๆ คือ PHP ซึ่งใช้ Apache เป็น Web server และฐานข้อมูลที่นิยมใช้ร่วมกัน คือ MySQL ซึ่งข้อดีของ 2 ตัวนี้ คือ ฟรีไม่เสียเงิน และเป็น opensource และ รวมท้้้งมีชุมชนคนใช้จำนวนมาก ซึ่งทำให้เป็นที่ยอมรับในการพัฒนา

แต่ในการทำระบบนั้น มีการตั้งค่าแยกจากกันทำให้การทำงานอาจไม่สะดวกดังนั้น จึงมีการนำกลุ่ม Sotfware มารวมกัน

XAMPP คือชุดรวม Software system เพื่อทำระบบ Web server ไว้ด้วย
โดยมี
Apache
MySQL
FileZila
Mercury
phpMyAdim
เป็นต้น

โดยผู้สนใจโปรแกรม XAMPP สามารถโหลดได้ตาม Link ข้างล่างเลยนะครับ

http://www.apachefriends.org/en/xampp.html

ซึ่งมีหลายหลาก OS plantfrom ให้ใช้ได้ตามที่ต้องการ เช่น Windows Linux Mac หรือ Solaris

โดยตามไปอ่าน วิธีใช้คราวๆ ใน blog ของผมที่ http://gkengapplication.blogspot.com/search/label/XAMPP โดยผมจะเขียนไว้วิธีการใช้เบื้องต้นนะครับ